ระบบเสียง (แบบที่ 1) ปรีโทน/Power Amp
ระบบเสียงนั้นมีการต่อใช้ใงานได้หลายรูปแบบทั้งแบบในบ้านและกลางแจ้งซึ่งก็ใช้หลักการเดียวกัน จะแตกต่างกันในเรื่องของอุปกรณ์ ระบบเสียงที่ได้เขียนขึ้นนี้ก็จากประสบการณ์การใช้งาน ซึ่งการใช้งานระบบเสียงที่ง่ายที่สุดก็จะเป็นการใช้พวก Integrade Ampifier หรือ นิยมใช้พวก Receiver ซึ่งเครื่องเสียงพวกนี้ง่ายต่อการใช้งานเพียงต่อลำโพงและเชื่อมต่ออุปกรณ์ Input หรือ Source ก็สามารถใช้งานได้แล้ว สามารถปรับแต่งโทนเสียงได้เล็กน้อย แต่สำหรับผู้ที่ต้องการปรับแต่งมากกว่านี้ก็จะไม่เหมาะ และไม่นิยทใช้กับระบบเครื่องเสียงกลางแจ้ง ดังนั้น Viospeed จะเน้นไปที่ระบบเสียงพื้นฐานถึงชั้นต้นๆ ถึงระบดับสูงขึ้นมา แต่ไม่ถึงกับระบบเวทีพวก Concert บทความนี้จะเน้นไปที่การเชื่อมต่อใช้งานเครื่องเสียงแบบที่ 1 ซึ่งเป็นแบบพื้นฐานเกือบจะดั้งเดิมปัจจุบันอุปกรณ์มีการพัฒนารวมเอาหลายๆ อุปกรณ์ เข้ามาไว้อยู่ในตัวเดียวแล้ว แต่เพื่อความเข้าใจและระบบเสียงพื้นฐาน และการต่อใช้งานแบบนี้ก็ยังมีใช้งานอยู่ในปัจจุบันโดยเฉพาะนักเล่นเครื่องเสียง ซึ่งยังไม่ได้ล้าสมัยแต่อย่างใดครับ เป็นพื้นฐานอย่างดี โดยการเชื่อมต่อดังนี้

- ชุดอุปกรณ์สัญญาณขาเข้า Input หรือ Source หรือแหล่งกำเนิดสัญญาณเสียงนั่นเอง เช่น เครื่องรับสัญญาณวิทยุ AM-FM (Tunner), กล่องรับสัญญาณ Set-Top Box (กล่องดาวเทียม,กล่องรับสัญญาณโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัล DVB-T2, เครื่องเล่นประเภท MP3, เครื่องเล่น CD/DVD/Bluray, คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ซึ่งเครื่องเล่นพวกนี้จะมีจุดต่อสัญญาณเสียงขาออก Audio Out อาจมีหลายรูปแบบพื้นฐานก็จะเป็นช่องแบบ RCA (เสียง (ขาว) สัญญาณเสียงข้างซ้าย (L) (ขาว) และสัญญาณเสียงข้างขวา (R) (แดง) นอกจากนั้นก็มีสัญญาณออกแบบแสง Optical (แบบ Digital) และเครื่องเล่นบางชิ้นจะมีสัญญาณภาพเพื่อต่อออกเครื่องรับโทรทัศน์ หรือ Monitor/Projector ซึ่งช่องต่อสัญญาณภาพแบบดั้งเดิมคือช่อง Video (RCA สีเหลือง) ช่องนี้จะให้ความคมชัดสูงสุดได้แค่ ความคมชัดปกติ (Standard Definition : SD) 720×576 (576i) ความคมชัดประมาณทีวีจอแก้ว ซึ่งถ้าโทรทัศน์ที่จอใหญ่มากกว่า 32 นิ้วจะเห็นได้ชัดเจนว่าภาพไม่ค่อยมีความคมชัด นอกจากนั้นก็มีช่องต่อแบบ HDMI (เป็นสัญญาณ Digital มีทั้งสัญญาณภาพและเสียงในช่องเดียวกัน) การแสดงผลความคมชัดได้หลายรูปแบบ เช่น High Definition :HD (1280×720 หรือ 720P) และ 1920×1080 หรือ 1080i /UHD (4K/8K) เป็นต้น แนะนำให้ใช้ช่อง HDMI ต่อสัญญาณภาพ หากเครื่องรับโทรทัศน์มีช่อง HDMI
- ชุดอุปกรณ์ปรับแต่งเสียง ทุ้ม (Bass),กลาง (Middle) และแหลม (Treble) เรียกว่า Tone Control หรือบางรุ่นอาจมีวงจร Pre Amp สำหรับขยายสัญญาณจากแหล่งต่างๆ Phono (เครื่องเล่นแผ่นเสียง และพวกไมโครโฟน เป็นต้น โทนคอลโทรล นอกจากจะทำหน้าที่ปรับเสียงทุ้ม กลาง และแหลม แล้วก็ยังมีการขยายสัญญาณเพิ่มขึ้นมาเพื่อป้อนให้กับภาคขยายเสียง Power Amp ปัจจุบันนิยมใช้เครื่อง Sound Mixer ทำหน้าที่แทนจึงไม่ค่อยเห็นมีปรีโทนขายกันจะเห็นแต่ Pre สำหรับรถยนต์มากกว่า ปัจจุบันที่หาซื้อได้ส่วนใหญ่เป็นพวก Karaoke Pre Tone Control ทำหน้าที่คล้ายๆ Sound Mixer ตัวเดียวจะมีช่องต่อ Microphone ปรับแต่ง Effect เสียง Echo/Delay ปรับเสียง ทุ้ม กลาง และแหลม ในตัวเดียวกันเลยง่ายต่อการใช้งานในบ้านและห้อง Karaoke การต่อใช้งานสัญญาณขาเข้าก็รับมาจากข้อที่ 1 คือแหล่งกำเนิดสัญญาณเสียงซึ่งอาจมีหลายเครื่องเล่น Pre Tone จะมี Switch เลือกสัญญาณขาเข้า ส่วนสัญญาณขาออก (Output) ไปต่อกับ Input ของ Power Amp ข้อ 3
- ชุดขยายเสียง (Power Amp) ซึ่งสมัยก่อนจะเรียกกันว่าเครื่องขยายเสียง หรือเก่ากว่านั้นภาษาใต้เรียก “หม้อหยาย” สมัยนั้นเป็นเครื่องขยายเสียงแบบหลอด (Tube) ทำหน้าที่รับสัญญาณเสียงที่มีการขยายเบื้องต้นจากชุดปรีโทน หรือปัจจุบันอาจใช้เครื่อง Sound Mixer ตัว Power Amp รับสัญญาณมาแล้วก็ขยายให้มีกำลังสูงเพื่อขับลำโพง Speaker ซึ่ง Power Amp หากรับสัญญาณโดยตรงจากแหล่งกำเนิดสัญญาณเข้า Power Amp เลยจะไม่ขยายจากพวก Pre Tone หรือ Sound Mixer แล้ววงจรขยายจะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จะสังเกตุได้ว่าเสียงเบาลงไปมากแม้จะเร่งสุดแล้วก็ตาม การเชื่อมต่อใช้งานขาเข้ารับสัญญาณจาก Out Put ของ Pre Tone ข้อ 2 ขาออกต่อลำโพง (การต่อสายลำโพงจำเป็นต้องต่อให้ถูกขั้ว +/- ซึ่งถ้าต่อผิดแล้วทำให้เฟสของสัญญาณเสียงผิดทำให้เสียงที่ออกจากลำโพงลดลงได้ ยิ่งถ้าเป็นลำโพงขนาดให้จะเห็นได้ชัดมากขึ้นว่าสัญญาณเสียงหายไปหรือลดลงแทนที่เสียงของ 2 ตู้ลำโพงจะเสริมกัน ก็จะหักล้างกันแทน) จากรูปเป็นตู้ลำโพงที่มี Passive Crossover network ซึ่งเป็นอุปกรณ์กรองความถี่ให้กับลำโพงแต่ประเภท เช่น เบส กลาง และแหลม เพื่อป้องกันลำโพงแต่ละตัวรับความถี่ที่ไม่เหมาะสมทำให้ประสิทธิภาพลดลงและทำให้เกิดความเสียหายแก่ลำโพงด้วย (จะมีการพูดถึงเรื่อง Active Crocss over network ในบทความต่อๆ ไปอีกครั้งสำหรับระบบเสียงที่ใหญ่ขึ้น)